โรคกลัว
(Phobic disorder) โรคกลัวคือภาวะที่ผู้ป่วยกลัวสถานการณ์หรือบางสิ่งบางอย่าง (phobic
situation or phobic object) อย่างมากจนทำให้เกิดปัญหาและผู้ป่วยก็พอจะรู้ว่าความกลัวนี้ไม่ค่อยสมเหตุผลแต่ก็ยังอดที่จะกลัวไม่ได้
เมื่อเผชิญกับสิ่งที่กลัวผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนอาการแพนิค คือจะใจสั่น หัวใจเต้นแรง
หายใจเร็ว มือเท้าเย็นอ่อนปวกเปียก ท้องไส้ปั่นป่วน และบางคนจะมีอาการวิงเวียนตาลาย
โรคกลัวที่มักทำให้เเกิดอาการวิงเวียนตาลายคือโรคกลัวชนิด agoraphobia,
social phobia, blood-injury phobia, และ space phobia Agoraphobia เป็น cluster of phobias คือผู้ป่วยอาจจะกลัวสถานการณ์ได้หลายๆแบบคือ กลัวที่โล่งๆกว้างๆ กลัวที่แคบๆ
กลัวที่ๆมีคนมากๆ กลัวที่สูง กลัวที่ๆไม่คุ้นเคยหรือสถานที่ๆไกลจากบ้าน Social phobia คือโรคกลัวการถูกจ้องมองหรือตกเป็นเป้าสายตาคน
กลัวสถานการณ์ที่ตนอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือถูกตำหนิ เช่นขึ้นเวที เซ็นชื่อต่อหน้าคนอื่น
กินข้าวร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้า Blood-injury phobia ผู้ป่วยจะเกิดอาการกลัวเมื่อเห็นเลือดหรือเห็นบาดแผล
บางครั้งแค่นึกถึงผู้ป่วยก็เกิดอาการกลัวแล้ว ในผู้ป่วยที่เป็นโรคกลัวแบบนี้เมื่อผู้ป่วยเห็นเลือดในช่วงแรกหัวใจจะเต้นเร็วหลังจากนั้นจะเกิด bradycardia จนความดันโลหิตตกลงทำให้ผู้ป่วยเป็นลมได้ Space phobia เป็นโรคกลัวอีกชนิดหนึ่งซึ่งเพิ่งเริ่มรู้จักกันไม่นาน
ผู้ป่วยจะมีปัญหาว่าทรงตัวไม่อยู่หรือรู้สึกเหมือนจะล้มถ้าต้องยืนหรือเดินในบริเวณที่ไม่มีอะไรให้เกาะ
ผู้ป่วยจะรู้สึกปกติถ้ามีอะไรอยู่ใกล้ๆในระยะที่ตนเกาะได้และไม่จำเป็นต้องเกาะก็ได้การรักษาโรคกลัวสามารถทำได้โดยให้ผู้ป่วยเข้าไปเผชิญกับสิ่งที่ตนกลัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (graded
exposure) จนผูป่วยเกิดความชินชากับสิ่งนั้นเช่นในผู้ป่วยที่กลัวความสูงเราอาจให้ผู้ป่วยขึ้นไปนั่งริมระเบียงชั้น
2 วันละ 1 ชั่วโมง ผู้ป่วยจะเกิดอาการกลัวเมื่อเริ่มไปนั่งแต่อาจจะกลัวไม่มากนักเพราะอยู่แค่ชั้น
2 ความกลัวจะค่อยๆลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
และแทบจะไม่กลัวเลยเมื่อหมดเวลา 1 ชั่วโมง วันต่อมาให้ทำแบบเดิมอีกผู้ป่วยก็จะกลัวอีกเมื่อเริ่มออกมานั่งแต่จะกลัวน้อยกว่าและจะหายเร็วกว่าเมื่อวาน
ทำทุกวันจนผู้ป่วยหายกลัวความสูงระดับชั้น 2 ก็ให้ขึ้นไปทำแบบเดียวกันกับชั้น
3 และเลื่อนชั้นไปเรื่อยๆจนถึงระดับที่ผู้ป่วยพอใจ ในรายที่เป็น social
phobia, generalized type (กลัวหลายๆสถานการณ์) ที่ไม่สามารถทำการรักษาแบบที่กล่าวมาเราอาจรักษาด้วยยา
SSRIs (sepecific-serotonin
reuptake inhibitors ) ในรายที่เป็น social phobia,
performance type (กลัวเฉพาะการต้องทำอะไรต่อหน้าคนอื่น) เราอาจรักษาด้วยยา
betablocker ได้ อีกภาวะหนึ่งที่พบได้บ่อยมากในเวชปฏิบัติทั่วไปคือภาวะ
hyperventilation
syndrome ในขณะเกิดอาการผู้ป่วยจะรู้สึกวิงเวียนได้ เพราะเมื่อระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดต่ำลง
เส้นเลือดในสมองจะหดตัว (cerebral vasoconstriction) ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อยลง
การรักษาคือทำให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดเพิ่มกลับสู่ระดับปกติ อาจจะโดยการให้ผู้ป่วยหายใจในถุงกระดาษใบโตๆ
หรือสอนการหายใจให้กับผู้ป่วย (breathing exercise) หรืออาจให้ยาคลายกังวลด้วยถ้าพบว่าอาการดังกล่าวเกิดจากความเครียด การอยู่ในภวังค์ (Dissociative
state) เป็นภาวะเหม่อลอยหรือทำอะไรแปลกๆหรือทำอะไรไม่ถูกในขณะที่ผู้ป่วยกำลังมีความเครียดอย่างรุนแรง
เช่นเมื่อถูกทำให้อับอายอย่างรุนแรง เมื่อทราบข่าวร้าย หรือในกรณีเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นไฟไหม้
ผู้ป่วยอาจเกิดอาการมึนชาไปหมดเหมือนไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ หรือเหมือนไม่ได้ยินข่าวร้ายอันนั้น
บางคนอาจเกิดอาการวิงเวียนร่วมด้วย เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปแล้วบางคนอาจบอกว่าจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ การรักษา คือการทำจิตบำบัดแบบประคับประคองโดยให้ผู้ป่วยได้พูดระบายความกังวล
ความคับข้องใจ ความรู้สึกอับอาย โดยไม่ถูกตำหนิ อาจมีการชี้แนะให้ผู้ป่วยได้เห็นมุมมองอื่นที่ต่างไปจากที่ผู้ป่วยคิดเองคนเดียว
ซึ่งอาจช่วยให้ผู้ป่วยมีการปรับตัวที่ดีขึ้น ในผู้ป่วยที่มี true
vertigo บางครั้งอาจมีปัญหาทางจิตเวชร่วมด้วยได้เช่น
ปรับตัวไม่ได้ เกิดความเครียด เกิดภาวะซึมเศร้า เกิดความไม่มั่นใจตนเองหรือเกิดพฤติกรรมถดถอย
(regression) ทำให้ต้องคอยพึ่งพิงผู้อื่นมากเกินไป
หรือได้รับสิ่งทดแทน (secondary gain) มากเกินไปเช่นพอป่วยเป็น
vertigo แล้วลูกอยู่บ้านมากขึ้นเพื่อคอยช่วยเหลือผู้ป่วยหรือป่วยแล้วสามีกลับบ้านเร็วขึ้นผู้ป่วยจึงไม่ยอมหายทั้งๆ
ที่น่าจะหายได้แล้วทำให้เกิดปัญหาในการดูแลรักษาและบางครั้งทำให้ผู้รักษาไม่แน่ใจว่าอาการครั้งใดเป็น
true vertigo ครั้งใดเป็นอุปาทาน (conversion) ของผู้ป่วย ในการรักษาเราคงจะต้องแน่ใจพอสมควรว่าโรคทางกายค่อนข้างดีแล้ว
และได้ข้อมูลว่าเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น แนะนำญาติให้ลดสิ่งทดแทนและฝึกให้ผู้ป่วยช่วยตนเองมากขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อาจมีการฝึกการทรงตัวโดยใช้ความรู้สึกของข้อและกล้ามเนื้อ (proprioceptive sense) มาช่วย ที่มา : ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี |