|
ปัญหาอารมณ์:
โรคเซ็งเรื้อรัง |
|
ชื่อของบทความในวารสารฉบับนี้
ดูจะเข้ากับภาวะปัจจุบัน เพราะไปที่ไหน ๆ ก็จะพบผู้คนที่ยิ้มแห้ง ๆ และบอกว่า “เซ็งว่ะ” โดยเป็นที่รู้กันว่า คำว่า “เซ็ง” กินขอบเขตไปถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่ในความหมายของโรคเซ็งเรื้องรังที่มีการพูดถึงมากในวงการแพทย์ขณะนี้คือ
กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง หรือ Chronic fatigue syndrome(CFS) ซึ่งผู้เขียนอยากเรียกว่าเป็น โรคเซ็งเรื้อรัง เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย พวกเราคงเคยมีความรู้สึกเซ็งๆ
หรือเบื่อหน่าย อ่อนเพลีย ไม่อยากลุกไปทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน
เมื่อคิดว่าต้องไปพบกับอะไร กันมาบ้างแล้ว แต่อาการเซ็งของเราจะเป็น ๆ หาย ๆ
ตามสภาวะแวดล้อมไม่เป็นอยู่นานนัก แต่ผู้ที่ป่วยด้วยกลุ่มอาการที่ว่านี้จะมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยอ่อนอยู่เป็นระยะเวลานานอาจเป็นเดือน
หลายเดือนหรือเป็นปี ภายหลังจากที่ต้องพบกับภาวะเครียดอย่างรุนแรง หรือภายหลังการเจ็บป่วย
เช่น ไข้หวัดใหญ่ ท้องเดินอย่างแรง เป็นต้น อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของคนปกติมักจะหายไปภายหลังการได้พัก
นอนหลับให้เต็มที่สัก 2-3 วัน แต่ผู้ที่เป็นโรคเซ็งเรื้อรัง ไม่ว่าจะพักผ่อนขนาดไหนหรือบำรุงร่างกายมากเพียงใด
ก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอย่างมากอยู่ โดยที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติ ๆได้ โรคเซ็งเรื้อรัง หรือ CFS นี้ได้มีผู้รายงานในชื่อของอาการอื่นมานานกว่า 1 ศตวรรษ
ในปี ค.ศ. 1860 นายแพทย์จอร์จ เบียร์ด (Dr. George
Beard) เรียกชื่อกลุ่มโรคนี้ว่า Neurasthenia (ซึ่งอาจจะยังมีการวินิจฉัยอยู่จนถึงปัจจุบัน) โดยเชื่อว่าเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งที่มีอาการอ่อนเปลี้ย
เหนื่อยง่ายโดยไม่พบสาเหตุ แพทย์อีกหลายคนจะวินิจฉัยผู้มีอาการเหล่านี้ว่าเป็นโรคโลหิตจางบ้าง
หรือน้ำตาลในเลือดต่ำบางครั้งเลยไปถึงคิดว่าเป็นโรคเชื้อรา แคนดิดา ทั้งตัวก็มี พอวิวัฒนาการทางการแพทย์เจริญขึ้น
ในกลางทศวรรษที่ 1980 โรคนี้ถูกขนานนามว่าเป็น “ Chronic EBV” โดยเชื่อว่าเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอ็บสไตน์ บาร์ (Epstein-Barr)
แต่ในปัจจุบันทฤษฎีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก เพราะเราสามารถตรวจพบระดับแอนติบอดีของไวรัส
อีบีวี ที่เพิ่มขึ้นทั้งในผู้มีอาการและคนปกติ และในทางกลับกันผู้ที่มีอาการกลับไม่พบระดับของไวรัสอีบีวี
แอนติบอดีหรือไม่เคยติดเชื้อไวรัสอีบีวีเลย ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเซ็งเรื้อรัง
มักจะมีอาการอย่างรวดเร็ว เริ่มต้นโดยอาการปวดศีรษะ เจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง
ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ ิเป็นอาการที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่แต่คงจะอยู่นานกว่า ส่วนใหญ่จะมีอาการภายหลังการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย
เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ ตับอักเสบ บางรายอาจเกิดขึ้นหลังจากมีอาการของโมโนนิวคลีโอสิส(Mononucleosis)
หรือโรคจูบ(Kissing disease) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้พละกำลังของวัยรุ่นถดถอยลงไปชั่วระยะหนึ่ง
ในบางราย อาการจะค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ผู้ป่วยบางรายบอกว่า เริ่มมีอาการหลังจากพบกับความเครียดมาก
ๆ มา น่าแปลกที่ว่า
โรคเซ็งเรื้อรังหรือ CFS นี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2-4 เท่า ซึ่งอาจจะเป็นเพราะความแตกต่างในเรื่องเพศ
ที่พบโรคบางชนิดในเพศหญิง เช่น ลูปัส (Lupus) หรือ Multiple
sclerosis หรืออาจเป็นเพราะผู้หญิงมักจะไปพบแพทย์ด้วยอาการอ่อนเพลียมากกว่าเพศชาย
แต่อย่างไรก็ตามแพทย์ทั่วไปยังคิดถึงโรคนี้น้อยกว่าที่ควร เนื่องจากการวินิจฉัยค่อนข้างยากเพราะมีอาการที่อาจเป็นได้หลายโรค
แพทย์ต้องวินิจฉัยแยกโรคทางกาย ที่มีอาการอ่อนเพลียคล้าย ๆ กันไปก่อน เช่น Lupus
หรือ Multiple sclerosis และในการติดตามดูแลผู้ป่วยแต่ละครั้งก็ให้นึกถึงโรคที่มีระยะเวลาการดำเนินโรคนาน
ๆ ไว้เสมอ ได้มีการประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาข้อบ่งชี้ในการวินิจฉัยให้ชัดเจน แต่ก็ยังต้องมีการปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ
ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่า โรคเซ็งเรื้อรังอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโรคที่เป็นติดต่อกันโดยมีอาการอ่อนเพลียเป็นอาการสำคัญ โรคเซ็งเรื้อรัง
ยังไม่มีการรักษาที่เฉพาะลงไปได้มีการให้ยาต้านไวรัส ยาต้านอารมณ์เศร้า
ยาเพิ่มภูมิคุ้มกัน รวมทั้งการให้ อิมมูโนโกลบูลินในขนาดสูง ๆ จากการศึกษาผู้ป่วยที่ได้รับยา
Acyclovir
ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาจริงกับผู้ป่วยที่ได้ยาทดลอง
มีอาการดีขึ้นเท่า ๆกัน ซึ่งทำให้การรักษาโดยยาต้านไวรัสลดน้ำหนักลงไป แพทย์บางท่านได้ให้ยาต้านอารมณ์เศร้าชนิด
Tricychic ในขนาดต่ำ ๆ พบว่าได้ผลดีเหมือนกับผู้ป่วย
Fibromyalgia ซึ่งมีอาการคล้ายผู้ป่วย
CFS แต่นักวิจัยบางคนบอกว่าอาจเป็นเพราะยาทำให้นอนหลับได้ดีขึ้นมากกว่า
ยาต้านอารมณ์ซึมเศร้าที่ใช้ขนาดสูงๆ จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเปลี้ยมากขึ้น จึงเปลี่ยนเป็นยาต้านอารมณ์เศร้าชนิดใหม่ๆ
หรือบางรายใช้ยาสงบประสาทพวก Benzodiazepine ร่วมด้วย
เพื่อลดอาการวิตกกังวลและช่วยให้หลับ นอกจากนี้ยังใช้ยาเพื่อรักษาอาการ เช่น
ยาระงับปวด หรือยาแก้โรคภูมิแพ้ อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่าผู้ที่มีอาการเรื้อรัง
ควรพยายามรักษาสุขภาพของตนเอง กินอาหาร และพักผ่อนให้พอ ออกกำลังกายพอสมควรที่จะไม่ให้เกิดอาการอ่อนเพลียอีก
ผู้ป่วยควรรู้จักที่จะดูแลตนเองให้เหมาะทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพราะความเครียดจะทำให้มีอาการมากขึ้นได้
การได้รับคำปรึกษาและให้กำลังใจจากญาติและผู้ใกล้ชิด จะช่วยให้ผู้ป่วยอยู่กับโรคหรืออาการที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างไม่แน่นอนนี้ได้ ท่านคิดว่าท่านมีอาการของโรคเซ็งเรื้อรังนี้แล้วหรือยัง? นายแพทย์หม่อมหลวงสมชาย
จักรพันธุ์ |